อยู่บ้านมันว่างเกินไป หลายคนเลยหันมาปลูกต้นไม้กันใหญ่ สำหรับมือใหม่อย่างเรา ต้องศึกษาข้อมูลกันให้ดีก่อนคิดที่จะปลูก โดยเฉพาะเหล่าต้นไม้ตายยาก (แต่เลี้ยงไม่ยาก) เหล่านี้ เป็นสิ่งที่ควรพิจารณาเป็นอันดับต้นๆ เลยนะ! ได้เวลาทิ้งเหล่าต้นไม้ปลอม แล้วคว้าต้นไม้จริงมาปลูกกันดีกว่า ไหนๆ ช่วงนี้มันก็ว่างๆ ถือโอกาสซื้อต้นไม้มาปลูกกันสักหน่อยไหม แถมช่องทางการซื้อเดี๋ยวนี้ก็ง่ายขึ้น ไม่ต้องเสียเวลาไปเดินตลาดต้นไม้กันอีกต่อไป เพราะร้านค้าออนไลน์เค้าก็เริ่มมีการขายต้นไม้กันแล้วนะ ซึ่งคุณสมบัติของต้นไม้ นอกจากจะช่วยทำให้บรรยากาศภายในบ้านดูดีขึ้นแล้ว ต้นไม้บางประเภทยังทำหน้าที่ช่วยฟอกอากาศภายในบ้านได้ดีด้วย แต่สำหรับมือใหม่คงมีกังวลกันบ้างว่าจะรอดไหม จะบอกว่าเหล่าต้นไม้ที่เรานำมาฝากกันเป็นต้นไม้ที่เลี้ยงง่าย ใช้พื้นที่น้อย ที่สำคัญคือตายยากมาก!
ใครที่กำลังมองหาต้นไม้ขนาดเล็กที่สามารถนำมาตกแต่งพื้นที่ภายในบ้านให้สวยมินิมอลเหมือนในคาแฟ่แล้วละก็ วันนี้เราได้รวบรวมต้นไม้ปลูกในบ้าน ดูแลง่าย ไม่มีแดดก็ปลูกได้ 2021 ทั้งหมด 7 ชนิด มาฝากเพื่อนๆ เพื่อเป็นไอเดียในการแต่งบ้านให้สวยน่าอยู่ จะมีต้นไม้ชนิดไหนบ้าง เพื่อนๆตามมาดูกันเลย 1. ต้นไม้ปลูกในบ้าน ดูแลง่าย 2021: Stephania erecta (บัวบกโขด) ต้นไม้ปลูกในบ้าน ดูแลง่าย 2021 ที่หน้าตาน่ารัก มินิมอล และราคาถูกมากกก เมื่อเทียบกับหน้าตาที่ดูแพง และเหมือนบอนไซมาก ใครที่งบไม่มากสามารถเลี้ยงน้องแทนบอนไซได้เลยนะ แนะนำมากสำหรับน้องบัวบกโขด เพราะเลี้ยงง่าย ไม่ต้องดูแลเยอะ เลี้ยงลืมไว้ที่โต๊ะทำงานน้องก็ไม่งอแงแน่นอน ไม่โดดแดดก็เลี้ยงได้ รดน้ำอาทิตย์ละครั้งก็เพียงพอ เมื่อเลี้ยงไปเรื่อยๆโขดหรือหัวของน้องจะใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งยิ่งใหญ่จะยิ่งสวย และดูแพงมาก 2. ต้นไม้ปลูกในบ้าน ดูแลง่าย 2021: Syngonium Pink Spot (เงินไหลมาด่างชมพูพิ้งสปอต) ต้นไม้ปลูกในบ้าน ไม่โดดแดด 2021 ต้นต่อมาคือ น้อง Syngonium Pink Spot ต่างจากเพื่อนในตระกูลเดียวกันตรงที่น้องมีลายจุดด่างสีชมพู เหมือนผู้หญิงที่ดูสดใสด้วยสีเขียวแต่ซ่อนความหวานด้วยสีชมพู ให้ดูน่าค้นหามากยิ่งขึ้น ด้านการดูแลน้องเป็นพืชที่ดูแลง่ายตามแบบฉบับตระกูลเงินไหลมาเลย ที่เลี้ยงง่าย แตกใบใหม่เร็ว ยิ่งถ้าอยู่ในที่ชื้น ระบายอากาศดีน้องจะโตไวมาก และที่สำคัญสามารถเลี้ยงได้ทั้งภายในอาคารและภายนอกอาคารอีกด้วย 3.
การดูแลต้นไม้ มีอยู่ด้วยกัน 4 วิธี ดังนี้ 1. การรดน้ำ ควรรดในตอนเช้าหรือเย็น ช่วงที่อากาศไม่ร้อนจนเกินไป ซึ่งเวลาที่เหมาะสม คือ 6. 00 - 8. 00 น. และ 17. 00 ถึง 21. ไม่ควรรดน้ำในตอนกลางวันที่แดดจัด เพราะเปรียบเสมือน การเอาน้ำร้อนมารดต้นไม้นั่นเอง อาจรดวันละครั้งในปริมาณที่มากกว่าปกติ หรือรดวันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็น วิธีรด คือ ควรรดรอบโคนต้นไม้ให้ชุ่มและรดพุ่มใบ ด้วยเพื่อให้ใบพืชซึมซับน้ำ เข้าทาง ปากใบ และลดการคายน้ำ หลังรดน้ำสายยางควรม้วนเก็บให้เรียบร้อย ไม่ควรวางทับสนามหญ้า เพราะนอกจาก จะดูไม่เรียบร้อย น้ำที่ค้างอยู่ในสายยางที่ตากแดดจัดจะร้อนทำให้หญ้าตายได้ 2. การพรวนดิน พรวนดิน ให้ร่วนซุยเป็นประจำ จะทำให้ดินโปร่ง มีช่องว่างในเนื้อดินดูดซับน้ำไว้ได้มาก ทำให้น้ำซึมซับลงในดินในระดับที่ลึกกว่าปกติ ถ้าดินแห้งเกินไปอาจใช้วัสดุปลูกมาคลุมแปลงหรือโคนต้น ช่วยดูดซับน้ำ เช่น กาบมะพร้าวสับหรือหญ้าที่แห้งและปราศจากเชื้อโรคและวัชพืช 3. การใส่ปุ๋ย การใส่ปุ๋ยพยายาม อย่าให้เม็ดปุ๋ยติดค้างอยู่ที่ใบและยอด เพราะจะทำให้เกิดอาการใบไหม้ได้ หรือใส่ก่อนรดน้ำ สำหรับการใส่ปุ๋ยทางใบและฉีดยาฆ่าแมลง ไม่ควรฉีดพ่นในขณะที่อากาศร้อนจัด จะทำให้ใบไหม้และไม่ได้ประโยชน์เต็มที่ เพราะในช่วงที่อากาศร้อน ปากใบพืชจะปิดเพื่อลดการคายน้ำ การใส่ปุ๋ยไม่ควรใส่บ่อยเกินไปถ้าไม่จำเป็น จะเป็นการเร่งการแตกใบใหม่ ซึ่งใบอ่อนจะไม่ทน กับอากาศ และแสงแดดที่ร้อนจัด 4.
เพิ่มความชื้นบริเวณที่ปลูก วางอ่างน้ำเล็ก ๆ หรือโหลเลี้ยงปลาไว้ใกล้กับบริเวณที่ปลูกต้นไม้ โดยเฉพาะในห้องปรับอากาศที่มีสภาพค่อนข้างแห้ง เพื่อให้น้ำที่ระเหยขึ้นมาช่วยเพิ่มความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศ หรือปลูกต้นไม้รวมกันเป็นกลุ่ม ไอน้ำจากดินจะช่วยให้ต้นไม้ไม่แห้งเกินไป 2. ปกป้องผิวดิน คลุมสแฟกนัมมอสส์ หรือกาบมะพร้าวสับที่ผิวดินบาง ๆ ช่วยให้ต้นไม้ไม่สูญเสียความชื้นเร็วเกินไป อย่างที่บอกว่าไม่จำเป็นต้องรดน้ำบ่อยแต่ก็ควรหมั่นสเปรย์น้ำทั้งผิวดิน ใบ และต้น จะช่วยให้ต้นไม้ชุ่มชื้นและสดใส 3. หลีกเลี่ยงจุดอันตราย ไม่วางต้นไม้ไว้ใกล้บริเวณที่มีลมแรง เช่น ใกล้กับเครื่องปรับอากาศเพราะลมที่เป่าออกมาตลอดเวลาจะทำให้ใบฉีกขาดและต้นไม้แห้งได้ รวมทั้งไม่ควรวางต้นไม้บริเวณที่ใกล้ความร้อนจากเครื่องใช้ไฟฟ้า เช่น ตู้เย็น เตา กระติกน้ำร้อน เป็นต้น 4. จับต้นไม้ไปอาบน้ำ ควรทำความสะอาดต้นไม้เป็นครั้งคราว โดยนำไปล้าง หรือใช้ผ้านุ่มๆชุบน้ำเช็ดคราบฝุ่นที่ติดตามผิวใบซึ่งจะไปอุดตามปากใบ การทำความสะอาดคราบสกปรกเหล่านี้จะช่วยให้ต้นไม้คายน้ำ แลกเปลี่ยนก๊าซ และสังเคราะห์แสงได้ดีขึ้น 5. อย่าปล่อยให้รากแช่น้ำ ต้นไม้ที่ปลูกในบ้านควรมีจานรองกระถางทุกใบเพื่อไม่ให้น้ำที่รดลงไปไหลออกมาเลอะเทอะ แต่ก็ควรระวังไม่ให้มีน้ำขังในจานรองเพราะจะทำให้รากต้นไม้แช่อยู่ในน้ำนานเกินไปจนเน่าเสียหายได้ ควรหมั่นนำน้ำส่วนเกินไปเททิ้ง และภายในกระถางควรรองก้นด้วยกรวด หรือหินภูเขาไฟหนาประมาณ 1-2 นิ้ว เพื่อให้ระบายน้ำได้ดีขึ้น 6.
บอกเทิคนิกดูแลทุเรียนปลูกใหม่ทำไงให้รอดจากการยอดแห้งตาย🆔 wut4727 📲 0858134727 วุฒิครับ - YouTube
สูตร!! วิธีดูแลต้นไม้ช่วงหน้าแล้งให้โตเร็ว - YouTube
ขุดทางระบายน้ำ เพื่อป้องกันน้ำขังในสวนและน้ำท่วมต้นไม้ ในสวนควรจะมีทางระบายน้ำเพิ่ม วิธีทำง่าย ๆ คือให้ขุดดินเป็นร่องเล็ก ๆ ตามขอบสนามหญ้าต่อไปยังทางระบายน้ำออก 5. ใช้ผ้ายางคลุมรักษาหน้าดิน หน้าดินที่มีสารอาหารที่จำเป็นต่อพืชจะถูกน้ำฝนชะล้างตอนฝนตก ให้รักษาหน้าดินด้วยการนำผ้ายางหรือแผ่นพลาสติกเจาะรูเล็ก ๆ ไว้สำหรับคลุมหน้าดินตอนฝนตกและพอให้มีช่องว่างระบายอากาศ 6. ย้ายต้นไม้หาแสงแดด เนื่องจากอากาศช่วงหน้าฝนมักจะมีเมฆมาก มืดครึ้ม แสงแดดจึงอาจไม่เพียงพอสำหรับต้นไม้ที่ชอบแดดจัด ซึ่งจะส่งผลต่อการเจริญเติบโต ฉะนั้นจึงควรย้ายต้นไม้เหล่านั้นมาไว้ในจุดที่มีแสงแดดส่องทั่วถึงบ้าง 7. ลดการให้น้ำ ต้นไม้ได้รับน้ำที่เพียงพอแล้วในหน้าฝน ฉะนั้นควรงดการรดน้ำบ้างบางวัน แต่ทั้งนี้ต้องคอยสังเกตดินบริเวณรอบต้นไม้ด้วย ถ้าดินแห้งแสดงว่าน้ำฝนระเหยจากดินหมดแล้ว ก็ควรจะรดน้ำเพิ่ม 8. หลีกเลี่ยงการเดินในสวนหลังฝนตก หลังฝนตกดินในสวนจะชื้น แฉะ เละ เพื่อรักษาสภาพของดินและหญ้าให้หลีกเลี่ยงการเดินย่ำลงดินโดยตรง เพราะจะทำให้สวนเละได้ ควรหาแผ่นไม้มารองตามทางเดินแทน 9. ใช้ปุ๋ยหมักธรรมชาติ แนะนำให้หลีกเลี่ยงการใช้ปุ๋ยเคมี เนื่องจากฝนจะชะล้างปุ๋ยไปตามดิน ซึ่งถ้าใช้ปุ๋ยเคมีไส้เดือนที่ช่วยพรวนดินให้ต้นไม้อาจจะโดนสารเคมีที่มาจากน้ำและตายได้ เพื่อเป็นการรักษาสภาพดินและไส้เดือนในดินควรใช้ปุ๋ยหมักแทน 10.
ใช้ดินผิดประเภท ต้นไม้แต่ละชนิดใช้ดินปลูกไม่เหมือนกัน บางชนิดชอบดินร่วน บางชนิดชอบดินร่วนปนทราย ในขณะที่บางชนิดอย่าง แคคตัส ต้องใช้ดินผสมวัสดุปลูกกระบองเพชรโดยเฉพาะ เช่น พีทมอส หินภูเขาไฟ เพื่อให้ดินระบายน้ำได้ดี แต่อย่างไรก็ตาม นอกจากการเลือกดินให้เหมาะสมกับต้นไม้แล้ว ควรใส่ดินในกระถางปลูกในปริมาณที่เหมาะสม ไม่ควรใส่ดินจนแน่นหรือเยอะเกินไป เพราะเวลาที่รดน้ำจะทำให้น้ำขังอยู่ในกระถางนานและเกิดความชื้นสูง ซึ่งจะส่งผลให้เกิดปัญหารากเน่าตามมาได้ สามารถสังเกตได้จากตอนรดน้ำ หากใช้เวลานานกว่าจะมีน้ำระบายออกมาจากก้นกระถาง แสดงว่าใส่ดินแน่นเกินไปนั่นเอง 3. วางกระถางผิดที่ ถึงแม้ว่าต้นไม้บางชนิดจะสามารถนำมาปลูกในบ้านได้ แต่ก็ควรหาที่วางกระถางต้นไม้ให้เหมาะสม เพราะต้นไม้ยังต้องการการสังเคราะห์แสงเพื่อการเจริญเติบโต ดังนั้น บริเวณที่วางกระถางควรมีแสงแดดส่องถึงบ้าง หรือหากในบ้านไม่มีมุมไหนที่แดดส่องถึงเลยจริง ๆ ควรนำกระถางสลับไปวางไว้ริมระเบียงหรือกลางแจ้งบ้าง เช่น ช่วงครึ่งเช้า เนื่องจากแดดในช่วงนี้ยังไม่ร้อนจนเกินไปนัก นอกจากนี้หากต้นไม้ไม่ได้รับแสงในปริมาณที่เพียงพอหรือวางในที่ที่มีแดดแรงเกินไป ยังเป็นสาเหตุที่ทำให้ใบไหม้ ต้นไม้โตช้า สีใบหรือทรงไม่สวย แม้จะบำรุงด้วยปุ๋ยแล้วก็ตาม 4.
อย่างแรกต้องรู้จักสิ่งที่ตัวเองมีให้ดีเสียก่อน นั่นก็คือ พื้นดินที่ทำการเพาะปลูก สภาพดินดั้งเดิมเป็นอย่างไร ประเภทของดินเป็นดินเหนียว ดินร่วนหรือดินผสม เม็ดดินมีขนาดเล็กหรือใหญ่ ถูกทำลายหน้าดินมาก่อนหรือไม่ ยิ่งถ้ารู้ไปถึงขั้นที่ว่าดินแต่ละชั้นหนาบางอย่างไรก็ยิ่งดี 2. ทำความรู้จักต้นพืชที่เราปลูก เนื่องจากว่าส่วนที่ทำหน้าที่ดูดซึมสารอาหารจากปุ๋ยที่เราใส่ลงไปในดินก็คือส่วนของราก ถ้าหากเราใส่ในจุดที่ไม่ตรงกับบริเวณที่รากอยู่อย่างหนาแน่น การดูดซึมไปใช้ก็จะทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร บางครั้งปุ๋ยก็เสื่อมสภาพไปเสียก่อนที่ต้นไม้จะดูดซึมได้เสียอีก ตัวอย่างเช่น ถ้าเราต้องการใส่ปุ๋ยต้นไม้ต้นหนึ่งที่ปลายรากยื่นห่างจากลำต้นไปแล้ว 3 เมตร แต่เราไปเทปุ๋ยวนรอบโคนต้น แบบนี้คงไม่ค่อยได้ผลเท่าไร การทำความเข้าใจการเติบโตของต้นไม้จึงสำคัญมาก 3. อย่าลืมว่ามีปุ๋ยแล้วก็ต้องมีน้ำ ถ้าเป็นปุ๋ยแห้งหรือปุ๋ยผง น้ำจะมีหน้าที่เป็นตัวทำละลายช่วยให้น้ำปุ๋ยซึมสู่เนื้อดินได้ดี แล้วต้นไม้ก็จะดูดซึมสารอาหารได้ง่าย แต่ถ้าเป็นปุ๋ยน้ำอยู่แล้ว เช่น ปุ๋ยชีวภาพ น้ำสะอาดก็จะเป็นตัวเจือจางที่ช่วยปรับให้ปุ๋ยมีความเข้มข้นอยู่ในระดับที่พอเหมาะ ดังนั้นจึงต้องพิจารณาด้วยว่าแหล่งน้ำนั้นสามารถไปถึงแหล่งเพาะปลูกได้อย่างเพียงพอหรือไม่ 4.
การให้ปุ๋ย หลังจากย้ายต้นไม้เข้าในบ้านแล้ว 6 อาทิตย์จึงเริ่มให้ปุ๋ย ใช้ปุ๋ยสูตรเสมอ 16-16-16 ในอัตราส่วนเท่าๆ กันทุก 15 วัน สลับกับการให้ปุ๋ยอินทรีย์บ้างในช่วงที่นำต้นไม้ไปพักฟื้นภายนอก วิธีนี้จะช่วยไม่ให้ดินเสีย 5. การทำความสะอาด หมั่นทำความสะอาดใบเสมอ โดยจะใช้ผ้าชุบน้ำเช็ด หรือจะล้างฝุ่นด้วยการใช้ฝักบัวก็ได้ แต่ต้องหาอะไรปิดหน้าดินเพื่อช่วยป้องกันน้ำชะหน้าดิน